วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษ (Punctuation)

การใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษ (Punctuation)
การใช้เครื่องหมายวรรคตอนเป็นสิ่งที่สำคัญในการเขียนข้อความ เนื่องจากเครื่องหมายวรรคตอนนั้นใช้สื่อความหมายต่างๆ กัน
Period ( . )
1.ใช้เมื่อจบประโยคในประโยคบอกเล่าหรือประโยคคำสั่ง
I saw the boy.
Let’s go to the shop.
Give me the pen please.
2.ใช้หลังอักษรย่อต่างๆหรือคำย่อ
Dr.=Doctor, adv.=adverb U.S.A.=United States of America
Comma ( , )
1.ใช้คั่นเพื่อแยกคำนามซ้อน
Thailand, a country in Asia, is famous for its beautiful temples.
2.ใช้แยกระหว่างคำที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันเช่น
I want a car, a motorcycle, and a bicycle.
3.ใช้แยกคำคุณศัพท์ที่บอกสี
a blue, yellow bicycle
4.ใช้แยกคำคุณศัพท์ที่ตามหลังคำนาม
The modal is dark, tall and handsome.
5.คั่นข้างหน้าหรือข้างหลังชื่อ เช่น
Christina, where have you been?
What would you like to eat, Pranee?
6.คั่นประโยคที่ตามหลัง Yes, No และ Well ที่ขึ้นต้นประโยค
Are you Thai? Yes, I am.
Well, I’m not sure if I can do that
7.ใช้เพื่อแยกข้อความในประโยคคำพูดเช่น
He said, “They are happy.”
8.คั่นระหว่างปีที่ตามหลังเดือน, ถนนกับเมือง,เมืองกับประเทศเช่น
Today is May 4th, 2000.
Dang lives at 56 Sukumvit Road, Bangkok.
Semi-colon ( ; )
1.ใช้คั่นประโยคที่มีเครืองหมาย comma คั่นอยู่แล้วเช่น
Hello, Nittaya; Please come here.
2.ใช้ทำหน้าเพื่อเชื่อมประโยคสองประโยคที่มีเนื้อหาเกี่ยวพันกันวางไว้หน้า adverbได้แก่คำว่า
therefore(ดังนั้น) besides(นอกจากนี้) เป็นต้น
Canada is very cold; therefore people must wear heavy coats in the winter.
Colon ( : )
1.ใช้ colon ก่อนการประโยคอธิบาย
He decided to buy a car:he had to travel to the remote area.
2.ใช้แจ้งรายการ ซึ่งนิยมใช้หลังคำเหล่านี้ the following หรือ as follows เป็นต้น เช่น
We require the following for our camping trip: tent, bags, and boots.
Question Mark ( ? )
ใช้กับประโยคคำถามเช่น
Is that food hot?
What is your nationality?
Do you like durian?
How tall are you?
Exclamation Mark ( ! )
ใช้หลังคำอุทานหรือประโยคอุทาน R>Oh! you are so beautiful.
Watch out!
Go away!
Apostrophe ( ‘ )
1.ใช้แสดงความเป็นเจ้าของของคำนามทั้งนามเอกพจน์และนามพหูพจน์ เช่น
The doctor’s car
The men’s club
Somkiet’s dog
2.ใช้แสดงความเป็นเจ้าของของคำนามพหูพจน์ที่เติม s หรือชื่อเฉพาะที่มี s เช่น
The girls’ books
Charles’ school
3.ใช้คำย่อหรือรูปย่อ
can’t (cannnot)
it’s (it is)
I’d rather (I woud rather)
Quotation Marks ( ” ” )
ใช้เขียนคร่อมข้อความที่เป็นประโยคคำพูดเช่น
He said, “I am going home.”
“I can help you move,” Narong volunteered
Hypen ( – )
ใช้เพื่อเชื่อมคำสองคำให้เป็นคำเดียวกันเช่น
ex-husband
anti-American
two-day holiday
Dash ( – )
ใช้เพื่อเน้นข้อความที่แทรกเข้ามาเพื่ออธิบายหรือใช้คั่นคำละไว้ในฐานที่เข้าใจหรือเปลี่ยนใหม่ เช่น
I got lost, forgot my bag, and missed my plane– it was a terrible trip.
If I had a lot of money, I would —Oh, what am I thinking? I will never be rich.


ที่มา:http://www.tlcthai.com/education/knowledge-online/content-edu/english-content-edu/16639.html



ที่มา:http://www.e4thai.com/e4e/index.php?option=com_content&view=article&id=1847:2014-08-07-03-12-35&catid=51&Itemid=115

คำอวยพรวันเกิด ปีใหม่ แสดงความห่วงใยต่อเพื่อน

คำอวยพรวันเกิด ปีใหม่ แสดงความห่วงใยต่อเพื่อน

- May this birthday be the beginning of the best years of your life.
  ขออวยพรให้ในวันเกิดนี้เป็นปีที่เริ่มต้นที่ดีที่สุดของคุณ
- You deserve the best birthday on Earth. Not to mention the moon, the stars, and the universe.
  ในวันเกิดนี้คุณควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดบนผืนโลก รวมทั้งพระจันทร์ ดวงดาวและะจักรวาล
- Hip, hip, hooray! It’s your birthday today!                  
  ฮิป ฮิป ฮูเรย์ วันนี้เป็นวันเกิดคุณ
- Best wishes on your birthday. You deserve a special one.
  สุขสันต์วันเกิด คุณควรได้รับสิ่งที่พิเศษที่สุดในวันเกิดนี้
- Birthday greetings! Hope it’s the best one yet!
  สุขสันต์วันเกิด หวังว่านี่คงเป็นวันเกิดที่ดีที่สุดที่เคยมี
- I planned to get you something memorable for your birthday. But then I forgot. Best belated wishes.
  ฉันเตรียมจะให้สิ่งที่เธอจะได้จดจำนานๆในวันเกิด แต่ฉันลืมไป สุขสันต์วันเกิดที่ผ่านมา
- It’s your birthday, Mom, and you deserve a day off. So sit back, relax and let Dad do all the work!
  วันเกิดแม่นะวันนี้ แม่ควรจะหยุดทำงานสักวัน นั่งลง รีแลกซ์ ในวันเกิดนี้ให้พ่อทำงานทุกอย่างเอง
- Happy Birthday to a special friend. I’m glad we can spend it together.
  สุขสันต์วันเกิดแด่เพื่อนคนพิเศษ ฉันดีใจที่ได้เราอยู่ร่วมฉลองกัน
- Hope your birthday is filled with your favorite things. And that I’m one of them.
  หวังว่าในวันเกิดนี้มีแต่สิ่งดีๆที่เธอโปรด และสิ่งหนึ่งในนั้นก็คือฉัน
- Happy Birthday! and many happy returns!
  สุขสันต์วันเกิดปีนี้และปีต่อๆไป
- Greetings of the New Year. Wishing you all success in the next.
  สวัสดีปีใหม่ขออวยพรให้ท่านจงประสบความสำเร็จในทุกๆสิ่งในปีใหม่นี้
- A toast to the New Year. May all your resolutions become completed projects.
  ดื่มอวยพรฉลองปีใหม่ ขออวยพรให้สิ่งที่ท่านตั้งใจไว้จงสมหวัง
- Happy New Year! Thinking of you as we begin anew.
  สวัสดีปีใหม่คิดถึงคุณในปีใหม่นี้
- We wish you a holiday season that is filled with wonder and delight!
  เราขออวยพรให้เทศกาลวันหยุดของคุณเติมเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์และความเบิกบานใจ
- A hope for one world family. From ours to yours.
  ปรารถนาให้โลกมีสันติ สำหรับครอบครัวคุณ …จากเรา
- One of my favorite gifts is hearing from you. Greetings of the season to you and yours.
  ของขวัญลํ้าค่าคือการทราบข่าวคราวจากคุณเทศกาลแห่งอวยพรนี้จงเป็นของคุณและครอบครัว
- Season’s greetings. Our best to you during the holidays.
  เทศกาลส่งความสุขนี้ขอส่งความปรารถนาดีจากเราถึงคุณ
- Happy holidays! Wishing you all the joys of the season.Happy holidays!
  ขออวยพรให้คุณมีความปีติยินดีตลอดทั้งปี
- HAPPY HOLIDAYS! Have a joyous Christmas and a festive New Year!Happy holidays!
  ขอให้มีความปีติยินดีในวันคริสต์มาสและรื่นเริงในวันปีใหม่
- Merry Christmas and Happy New Year. Hope the season finds you in good cheer.Merry Christmas and Happy New Year
  ขออวยพรให้ท่านได้พบแต่สิ่งที่ดีๆ
- Christmas Greetings Wishing you a prosperous New Year!Christmas Greetings
  ขออวยพรให้ท่านจงเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูตลอดปีใหม่
- Season’s Greetings– May love and laughter fill your life at Christmas and throughout the New Year.
  เทศกาลแห่งการอวยพร ขออวยพรให้ความรัก และเสียงหัวเราะเติมเต็มชีวิตของคุณในวันคริสต์มาสตลอดไปถึงวันปีใหม่
- Christmas Cold weather and warm feelings
  คริสต์มาสอากาศที่เหน็บหนาวและความรู้ที่อบอุ่น
- My wishes for Christmas: 1. Joy to the world 2. Good will toward men 3. Pizza on Earth!
  สิ่งที่ฉันปรารถนาในวันคริสต์มาสนี้ 1. คนทั่วโลกมีความสุข 2. ผู้คนอยู่กันอย่างสันติ 3.มีพิชซ่าให้กิน (โจ๊ก)
- Morning, noon, and nighttime, too…I spend the hours missing you.
  เช้า เที่ยง เย็น ตลอดทั้งวัน ฉันคิดถึงเธอตลอดเวลา
- Friends don’t let friends have empty mailboxes.
  เพื่อนไม่ปล่อยให้เพื่อนดูตู้จดหมายที่ยังว่าเปล่า
- Fads may come and fads may go but you’re always my style.
  ความนิยมชั่วขณะมาเดี๋ยวเดียวและจากไปแต่คุณยังเป็นสไตล์ของฉันเสมอ
- When you count the friends you can rely on count me in.
  ยามใดที่คุณนับจำนวนเพื่อนเชื่อได้เลยว่ามีฉันอยู่ในจำนวนนั้น
- Real friends always know the right thing to say.
  เพื่อนแท้ย่อมรู้ในสิ่งที่ควรพูด
- Every road is shorter, every load lighter with you by my side.
  ถนนทุกสายสั้นลง สิ่งทุกอย่างเบาขึ้นเมื่อมีคุณอยู่ข้างกาย
- Since you left, I’m feeling drained. Please come back and recharge my batteries.
  ตั้งแต่คุณจากไปทำให้ฉันรู้หมดเรี่ยวแรง โปรดกลับมาและเติมเต็มพลังให้ฉันใหม่
- I hope you’re enjoying your trip.That’s the generous side of me. The selfish side wants you to COME HOME!
  ฉันหวังว่าคุณคงสนุกกับการเดินทางนั้นเป็นส่วนจิตใจที่ดีงาม ส่วนที่เห็นแก่ตัวก็ต้องการให้เธอนั้นกลับมา
- This card comes with hugs and kisses. See me for more details.
  การ์ดใบนี้รวมทั้งการโอบกอดและรอยจูบ กลับมาหาฉันและรับเอาไป
- Even when you’re far away, I feel closer to you every day.
  แม้ยามที่เธออยู่ห่างไกล ฉันยังรู้สึกว่าอยู่ใก้ลเธอทุกวัน
- A thought of you a day keeps the blues away.
  ยามใดที่คิดถึงเธอ ทำให้ฉันหายเศร้า
- On my list of things to think about you’re number one!
  สิ่งที่สำคัญที่สุดในความคิดของฉัน เธอคือนัมเบอร์วัน
- When I think of you, all’s right with the world.
  ยามใดที่ฉันคิดถึงเธอโลกช่างสดใสเหลือเกิน
- Just dropping a line to say I think about you every day.
  แค่ส่งโน๊ตมาเพื่อบอกว่าฉันคิดถึงเธอทุกวัน
- I think of you. Therefore I am happy.
  ฉันคิดถึงเธอ นั้นทำให้ฉันมีความสุข
ที่มา:http://www.tlcthai.com/education/knowledge-online/content-edu/16547.html






ที่มา:http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=crazylazykoodchi&month=032014&date=15&group=6&gblog=303

Talking about the weather : การพูดคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศ

Talking about the weather : การพูดคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศ
สภาพอากาศ : weather เป็นคำที่ใช้แสดงภาวะของอากาศภาคตามช่วงเวลาของบริเวณใดบริเวณหนึ่ง 
        weather- สภาพอากาศ  เป็นคำที่ใช้แสดงภาวะของอากาศภาคตามช่วงเวลาของบริเวณใดบริเวณหนึ่ง  ภูมิอากาศ  – climate  เป็นสภาวะเฉลี่ยของสภาพอากาศของบริเวณกว้างๆ  ในช่วงเวลาหนึ่ง   สภาพอากาศจะอธิบายถึงสภาวะของอุณหภูมิ  เมฆ  ฝน  และหิมะ   บริเวณที่มีสภาพอากาศดี  -Fine  weather  –  จะมีสภาวะความกดอากาศสูง  โดยอากาศจะลดระดับลงต่ำ  บริเวณที่สภาพอากาศมีเมฆมาก  -Cloudy-  มีความชื้นสูง  จะมีความกดอากาศต่ำ  อากาศจะลอยตัวสูงขึ้น   ทำให้สภาพอากาศบริเวณนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย   สภาวะอากาศเช่นนี้  เกิดในบริเวณเส้นละติจูดอบอุ่น-temperate  latitudes   ซึ่งเป็นบริเวณที่อากาศร้อนพบกับอากาศเย็น   จากบริเวณแนวขั้วโลก  (polar  fronts)  ในเขตนี้วงจรหมุนของอากาศที่มีความกดดันต่ำ  ซึ่งรู้จักกันว่า  ดีเปรสชั่น  – depressions  (  พายุหมุนในละติจูดกลาง  – mid-latitude  cyclones)   จะเกิดขึ้นบ่อยๆ  ดีเปรสชั่นมักจะประกอบด้วยส่วนของลมร้อน  เริ่มจากแนวอากาศอบอุ่น  – warm  front  ไปจนถึงแนวอากาศเย็น  -cold  front     เมื่อแนวอากาศทั้งสองประทะกัน  ทำให้เกิดแนวอากาศรวม  -occluded   front   อากาศร้อนจะดันตัวสูงขึ้น ทำให้บริเวณนั้นมีสภาพความกดอากาศลดต่ำลงอย่างรุนแรง  มีผลทำให้เกิดพายุหมุนเฮอริเคน -hurricane   (  พายุหมุนที่เกิดขึ้นในสภาวะอากาศแบบเดียวกัน  ได้แก่  ไต้ฝุ่น   – typhoon  หรือพายุโซนร้อน  – tropical  cyclone )   สภาวะอากาศนี้จะทำให้เกิดฝนตกอย่างรุนแรง  และมีลมพัดแรงเป็นพิเศษ
ประเด็นจากข่าว      Conversation :  weather












เนื้อเรื่อง
          วันนี้มาเรียนรู้การสนทนาสอบถามเกี่ยวกับสภาพอากาศ  เพื่อพัฒนาการพูดสื่อสารภาษาอังกฤษ ให้ดีขึ้น
            Ford:    How  is  the   weather  now ?
                        ฮาว  อิส  เดอะ  เวธเธอะ นาว?
            ฟอร์ด:    อากาศตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ
            Gift:       It”s  terribly  hot, Ford.
                         อิทซ  เทอริบลี  ฮอท, ฟอร์ด.
           กิ๊ฟ:         มันร้อนเป็นบ้าเลยค่ะ ฟอร์ด.
           Ford:       I  think  so.  is  it  summer ?
                          ไอ  ธิงค์ โซ  อิซ  อิท  ซัมเมอร์?
            ฟอร์ด:      ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ  มันเป็นฤดูร้อนใช่ไหม
            Gift:         Yes, absolutely.
                            เยส, แอบโซลูทลี
            กิ๊ฟ:           แน่นอนว่าใช่เลยค่ะ
            Ford:          Why  does  it  rain  in  summer ?
                              วาย    ดาซ  อิท  เรน  อิน  ซัมเมอร์ ?
            ฟอร์ด:         ทำไหมฝนตกในฤดูร้อนครับ
            Gift :           Because   of  a  tropical  atorm  from  China.
                              บิคอซ  ออฟว  อะ  ทรอพพิคอล  สทอร์ม  ฟรอม  ไชน่า
             กิ๊ฟ:            เพราะว่าพายุโซนร้อนจากประเทศจีน
ประเด็นคำถาม
              How  is  the   weather  now ?
              อากาศตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
              The   weather  is  very  hot/ cold.
               อากาศร้อน / หนาว
กิจกรรมเสนอแนะ
              การบอกอากาศร้อน เราไม่ใช้ประโยคว่า  I”m  very  hot. เพราะมันแปลว่าฉันรู้สึก
เร่าร้อนมาก  ประโยคที่ควรใช้คือ  The  weather  หรือ it  แทน เช่น
               The  weather   is  very  hot.
                      อากาศร้อนมาก
                      อากาศหนาวก็เช่นกัน ไม่ใช้  I am  cold. เพราะแปลว่า ฉันเป็นหวัด  คำที่ใช้คือ
               The  weather   is  very  cold.
                 It”s  cold.
ที่มา:http://www.tlcthai.com/education/knowledge-online/content-edu/16473.html




ที่มา: http://www.engisfun.com

การขอร้องในภาษาอังกฤษ ด้วย Would/do you mind?

การขอร้องในภาษาอังกฤษ ด้วย Would/do you mind?
     วิธีที่จะทําให้ใครบางคนทําอะไรหรือให้อะไรแก่เรามีหลายวิธีการ: อาทิเช่น; การเสนอเงินตรา,ชื่อเสียง, และ ตําแหน่ง. วิธีเหล่านี้อาจจะพูดได้ว่าเป็นวิธีที่ดีมาก, เพราะคนส่วนใหญ่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว. แต่ที่แน่ๆ, คงมีเพียงคนไม่กี่คนที่ชอบให้ถูกสั่ง, ด่า, หรือว่า, แล้วจึงปฎิบัติตามสิ่งที่เราประสงค์.

    การขอร้องเป็นอีกวิธีหนึ่งซึ่งสามารถทําให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการ, โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขอร้องแบบสุภาพและคนจํานวนมากนิยมใช้วิธีนี้; ยกเว้นกลุ่มบุคคลที่มีเงินตรามหาศาล, มีบ้านหลายหลัง, มีคลังอาวุธ, เป็นมนุษย์ที่มีอํานาจและบารมีทั่วทุกตารางนิ้วของปฐพี พวกเขาเหล่านี้ต้องการอะไรไม่จําเป็นต้องขอร้องใคร สั่งอย่างเดียว. จะมีใครสักกี่คนที่กล้าพูดว่า ไม่?
    การขอร้องแบบสุภาพในภาษาอังกฤษนั้นมีหลายสํานวนซึ่งน่าจดจํา, และนําไปใช้ในชีวิตประจําวันเพื่อเป็นการเสริมสร้างทักษะของภาษาให้ดีขึ้นและสวยงามอีกด้วย. สํานวนแรกที่ใช้บ่อยและสุภาพ:
1) Would/do you mind? : Use this to ask someone politely to do something for you or to let you do something. ใช้เพื่อขอร้องใครบางคนอย่างสุภาพเพื่อให้ใครคนนั้นทําบางสิ่งแก่คุณหรืออนุญาตให้คุณทําสิ่งที่คุณต้องการ. 
    Ex1: I would like to ask you one question – do you mind? ฉันต้องการถามคุณหนึ่งคําถาม คุณรังเกียจไหม?
2) Would/could you do me a favor? : Use this to ask someone to do something for you or help you with something. Using do me a favoralone is more informal than saying would or could you do me a favor ใช้เพื่อขอร้องใครบางคนเพื่อให้ใครคนนั้นทําบางสิ่งแก่คุณหรือช่วยเหลือคุณในบางสิ่ง. การใช้ do me a favor อย่างเดียวมีความไม่เป็นทางการมากกว่าการกล่าว would or could you do me a favor. พูดง่ายๆ do me a favor ไม่เป็นทางการเท่าไรและค่อนข้างจะเป็นกันเอง. 
    Ex1: Would you do me a favor and call Susan to tell her I’ll be late for dinner? ผมขอรบกวนคุณช่วยกรุณาโทรหาซูซั่นและบอกหล่อนว่าผมจะไปช้าสําหรับอาหารเย็นได้ใหม?
    Ex2: Do me a favor mail this letter by 4. ฉันขอรบกวนหน่อย ช่วยส่งจดหมายนี้ก่อน 4 โมง.
3) I would be grateful if you could/I would appreciate it if you could: use this in formal language or business letters to ask someone to do something for you. ใช้สํานวนเหล่านี้ในภาษาที่เป็นทางการหรือในจดหมายธุระกิจเพื่อขอร้องใครบางคนทําบางสิ่งสําหรับคุณ. 
    Ex1: I would be grateful if you could send the information about your company to us. ฉันจะขอบคุณถ้าคุณสามารถส่งข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทของคุณแก่เรา.
    Ex2: I would appreciate it if you could confirm your order by Monday. ฉันจะซาบซึุ้ณสามารถยืนยันการสั่งสินค้าของคุณก่อนวันจันทร์.
4) Could you/would you/can you? : Use this to ask someone to do something for you. Could you and would you are more polite than can you. ใช้สํานวนเหล่านี้เพื่อขอร้องใครบางคนทําบางสิ่งสําหรับคุณ. Could you และ would you สุภาพมากกว่า  can you. 
    Ex1: Could you hold this bag while I get my keys? คุณช่วยกรุณาถือถุงนี้สักครู่ขณะที่ฉันเอากุญแจของฉันได้ใหม?
    Ex2: Would you get me a pen, please? คุณจะช่วยโปรดกรุณาหาปากกาให้ฉันได้ใหม, ได้โปรด? Ex3: Can you come back again when I need you? คุณช่วยกลับมาอีกครั้งเมื่อฉันต้องการคุณได้ใหม? ผู้หญิงพูดประโยคนี้กับผมบ่อยมาก. ผมจะมีค่าเมื่อพวกหล่อนมีปัญหา.
5) Excuse me/pardon me: use this to politely get someone’s attention or to interrupt what he/she is doing when you want to ask him/her something. Pardon me is slightly old-fashioned and is more formal than excuse me. ใช้คําเหล่านี้เพื่อให้ได้รับความสนใจหรือขัดจังหวะขณะที่ เขา/หล่อน กําลังทําบางสิ่งอยู่เมื่อคุณต้องการขอร้อง เขา/หล่อน บางสิ่ง. Pardon me ค่อนข้างเป็นภาษาเก่าและเป็นทางการมากกว่า excuse me. 
    Ex1: Excuse me, could you scoot over? ขอโทษนะ, คุณช่วยขยับหน่อยได้ใหม?
    Ex2: Pardon me, do you know what time it is? ขอโทษครับ, คุณรู้ใหมว่ากี่โมง?
          การใช้อารมณ์และการสั่งการโดยใช้นํ้าเสียงที่สูง (High-pitched tone of voice) โอกาสที่จะได้ดังหวังคงน้อย, เพราะคนส่วนมากไม่ชอบถูกด่าและถูกว่า ตัวเราเองยังไม่ชอบเลยแล้วคนอื่นจะชอบหรือ? Its not what you say. Its how you say it. มันไม่ใช่สิ่งที่คุณพูด. มันอยู่ที่คุณพูดอย่างไร. ถ้าคุณอยากให้ใครทําอะไรให้, คุณต้องพูดกับบุคคลนั้นดีๆและมีเหตุผล,ซึ่งบุคคลที่ยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่คงจะสนองตอบต่อความต้องการของคุณ.
—————————————————————————
***Note***: การใช้ Will you..? จะเป็นคําสั่งหรือบอกให้ทําสิ่งใดสิ่งหนึ่ง. Ex: Make me a cup of tea, will you? ทําชาให้ฉันถ้วยสิ, ได้ใหม? คนส่วนมากเข้าใจผิดและคิดว่า will you เป็นการขอร้อง; ฉะนั้น, โปรดจงระวัง. อย่าไปสั่งใครนอกเสียว่าคุณยิ่งใหญ่หรือเหนือกว่าบุคคลนั้น. ขอให้จําเสมอว่าถ้าจะขอร้องใครห้ามใช้ will you โดยเด็ดขาด
ที่มา:http://www.tlcthai.com/education/knowledge-online/content-edu/english-content-edu/16623.html

ที่มา:https://www.google.co.th/searchq=would+you+mind&espv=2&biw=1536&bih=778&site=webhp&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwigo5bM8aXJAhXi3KYKHYjhBWUQ_AUIBygC#imgrc=Vjb16SAmQzTBzM%3A

หลักการใช้ an / and

หลักการใช้ A / AN

a อ่านว่า อะ
an อ่านว่า แอน

สองคำนี้คืออะไร สองคำนี้เรียกว่า คำนำหน้านาม ทำไมต้องน้ำหน้าก็ไม่รู้สิ ถ้าเทียบกับภาษาไทยก็เหมือนกับคุณ นั่นแหละ เช่น คุณน้อย คุณสมศรี
ทั้งสองคำนี้แปลว่า หนึ่ง ใช้นำหน้าคำนามทั่วไป และเป็นนามเอกพจน์
1. ใช้ an นำหน้า คำนามที่ขึ้นต้นด้วย สระ (a, e, i, o, u) และนามที่มีคำอ่านเป็นเสียงสระ คือมี อ เป็นพยัญชนะต้น และเวลาอ่าน  ให้ตัด อ อ่าง ออก แล้วเอาตัวสะกดตัวหน้ามาใส่แทน (ก็ น หนูนั้นแหละ)
นามที่ขึ้นต้นด้วยสระ
an apple แอน แน็พเพิล แอปเปิ้ลหนึ่งผล
an ant    แอน แน๊นท มดหนึ่งตัว
an egg   แอน เนก ไข่หนึ่งฟอง
an ice cream แอน ไนซกรีม ไอศกรีมหนึ่งแท่ง
an orange  แอน นอรินจ ส้มหนึ่งผล
an umbrella  แอน นัมเบร็ลละ ร่มหนึ่งคัน
an uncle แอน นังเคิล ลุงหนึ่งคน
รวมถึง นามที่นำหน้าด้วยคุณศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย a, e, i, o, u
an amazing boy แอน นะเม๊ซซิง บอย เด็กชายมหัศจรรย์
an ancient car แอน เน๊นเชิน คา รถโบราณ
an easy question แอน นี๊ซิ เคว๊ซชัน คำถามง่ายๆ
an exellent girl แอน เน็กซะเลินท เกิล เด็กหญิงอัจฉริยะ
an impressive story แอน นิมเพร๊ซซิฝ สต๊อริ เรื่องราวน่าประทับใจ
an interesting man แอน นิ๊นเทอเร็สติงแมน ชายที่น่าสนใจ
an old car แอน โนลด คา รถยนต์เก่าๆ
an ugly woman แอน นั๊กลิ วู๊เมิน หญิงรูปร่างน่าเกลียด
นามที่อ่านเป็นเสียงสระ  ตัว h บางตัว
an hour แอน เนาเวอะ  หนึ่งชั่วโมง
an honest man แอน นอนนิส แมน ชายผู้ซื่อสัตย์หนึ่งคน
2. ใช้ a นำหน้า คำนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ และนามที่มีคำอ่านเป็นเสียงพยัญชนะ โดยเฉพาะตัว u ออกเสียงเป็น ย (ไม่ใช่เสียง อ)
a cat แมวหนึ่งตัว
a dog สุนัขหนึ่งตัว
a boy เด็กชายหนึ่งคน
a teacher ครูหนึ่งคน
a ruler ไม้บรรทัดหนึ่งอัน
a car รถยนต์หนึ่งคัน
a school โรงเรียนหนึ่งแห่ง
นามหรือคุณศัพท์ที่อ่านเป็นเสียงพยัญชนะ  ตัว u บางตัว
a uniform อะ ยูนิฟอม ชุดยูนิฟอร์มหนึ่งชุด
a university อะ ยูนิเวอซะทิ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
a useful book อะ ยูสฟุล บุ๊ค หนังสือที่เป็นประโยชน์หนึ่งเล่่ม
         ที่มา: http://xn12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-article-a-an/


ที่มา: https://www.google.co.th/searchq=article&espv=2&biw=1536&bih=814&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwiV1pTF76XJAhXFqaYKHbs_BhEQ_AUIBigB&dpr=1.25#imgrc=fSWjouSkHKYnhM%3A

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

tense

Tense


Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ที่แสดงให้เราทราบว่า  การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด   ซึ่งเรื่อง  tense  นี้เป็นเรื่องสำคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ  tense  เสมอ  ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ   แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป  tense  นี้มาเป็นตัวบอก  ดังนี้การศึกษาเรื่อง  tense  จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.
Tense  ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น  3  tense  ใหญ่ๆคือ
               1.     Present   tense        ปัจจุบัน
               2.     Past   tense              อดีตกาล
               3.     Future   tense          อนาคตกาล
ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ
              1 .   Simple   tense    ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
              2.    Continuous  tense    กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
              3.     Perfect  tense     สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
              4.     Perfect  continuous  tense  สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).


โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้

Present  Tense
                  

                      [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[Present]       [1.2]   S  +  is, am, are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
                      [1.3]   S  +  has, have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
                      [1.4]   S  +  has, have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
                      [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
[Past]            [2.2]  S  +  was, were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
                      [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
                      [3.1]  S  +  will, shall  +  verb 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[Feature]        [3.2]  S  +  will, shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
                      [3.3]  S  +  will,s hall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด -  เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).


หลักการใช้แต่ละ  tense  มีดังนี้
             
 [1.1]   Present  simple  tense    เช่น    He  walks.   เขาเดิน,
1.    ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.    
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด  (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).
3.    ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้   เช่น  รัก,  เข้าใจ, รู้  เป็นต้น.
4.    ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).
5.    ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต  เช่นนิยาย นิทาน.
6.    ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต    ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า    If    (ถ้า),       unless   (เว้นเสียแต่ว่า),    as  soon  as  (เมื่อ,ขณะที่),    till  (จนกระทั่ง) ,   whenever   (เมื่อไรก็ ตาม),    while  (ขณะที่)   เป็นต้น.
7.    ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ  และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย  เช่น  always (เสมอๆ),  often   (บ่อยๆ),    every  day   (ทุกๆวัน)    เป็นต้น.
8.    ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น  [1.1]  ประโยคตามต้องใช้   [1.1]  ด้วยเสมอ.

[1.2]   Present  continuous  tense   เช่น   He  is  walking.  เขากำลังเดิน.
1.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้  now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).
2.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน  เช่น  ในวันนี้ ,ในปีนี้ .
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้  เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
*หมายเหตุ   กริยาที่ทำนานไม่ได้  เช่น  รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ  จะนำมาแต่งใน  Tense  นี้ไม่ได้.

 [1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.
1.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน  และจะมีคำว่า Since  (ตั้งแต่) และ for  (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า  ever  (เคย) ,  never  (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้   Tense
4.    ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ  Just   (เพิ่งจะ), already  (เรียบร้อยแล้ว), yet  (ยัง), finally  (ในที่สุด)  เป็นต้น.

[1.4] Present  perfect  continuous  tense    เช่น  He  has  been  walking .  เขาได้กำลังเดินแล้ว.
*  มีหลักการใช้เหมือน  [1.3]  ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย    ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่  ส่วน [1.4]  นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.

[2.1] Past  simple  tense      เช่น  He  walked.  เขาเดิน แล้ว.
1.   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต   มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น  Yesterday, year  เป็นต้น.
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every  day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น  yesterday,  last  month )  2  อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว  ซึ่งจะมีคำว่า  ago  นี้ร่วมอยู่ด้วย.
4.      ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1]  ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [2.1]  ด้วย.

[2.2]   Past continuous  tense   เช่น    He  was  walking .  เขากำลังเดินแล้ว
1.     ใช้กับเหตุการณ์   2   อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน  { 2.2  นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้  2.2   -  ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.
2.     ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค  ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค  เช่น  all  day  yesterday  etc.
3.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น  หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1  กับ  2.2  จะดูจืดชืดเช่น   He  was  cleaning  the  house  while  I was  cooking  breakfast.

 [2.3]   Past  perfect  tense    เช่น  He  had walk.  เขาได้เดินแล้ว.
1.    ใช้กับ เหตุการณ์  2  อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต  มีหลักการใช้ดังนี้.
เกิดก่อนใช้  2.3  เกิดทีหลังใช้  2.1.
2.     ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง  เช่น   She  had  breakfast  at  eight o’ clock  yesterday.

 [2.4]   past  perfect  continuous  tense    เช่น   He  had  been  walking.
           มีหลักการใช้เหมือนกับ  2.3  ทุกกรณี  เพียงแต่  tense  นี้  ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1  ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่  2  โดยมิได้หยุด  เช่น  When  we  arrive  at  the  meeting ,  the  lecturer  had  been  speaking  for  an  hour  .   เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม  ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1  ชั่วโมง.

 [3.1]   Future  simple  tense      เช่น   He  will  walk.    เขาจะเดิน.
              ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ซึ่งจะมีคำว่า  tomorrow,  to  night,  next  week,  next  month   เป็นต้น  มาร่วมอยู่ด้วย.
           * Shall   ใช้กับ     I    we.
             Will    ใช้กับบุรุษที่  2  และนามทั่วๆไป.
             Will,  shall  จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.
             Will,  shall   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
             Be  going  to  (จะ)  ใช้กับความจงใจของมนุษย์ เท่านั้น  ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.

[3.2]    Future   continuous    tense    เช่น   He  will  be  walking.    เขากำลังจะ เดิน.
1.     ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).
2.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต  มีกลักการใช้ดังนี้.
               -   เกิดก่อนใช้    3.2      S  +  will  be,  shall  be  +  Verb 1  ing.
                -  เกิดทีหลังใช้   1.1     S  +  Verb  1 .

 [3.3]   Future   prefect  tense    เช่น  He  will  walked.  เขาจะได้เดินแล้ว.
1.  ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต  โดยจะมีคำว่า  by  นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา ด้วย  เช่น   by  tomorrow  ,   by  next  week   เป็น ต้น.
2.  ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
              -      เกิดก่อนใช้   3.3      S  +  will, shall  +  have  +  Verb 3.
-         เกิด ที่หลังใช้   1.1    S  +  Verb 1 .

 [3.4]  Future  prefect  continuous  tense เช่น He  will  have  been  walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.
          ใช้เหมือน  3.3  ต่างกันเพียงแต่ว่า  3.4  นี้เน้นถึงการกระทำที่  1  ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่  2  และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.
           *   Tense  นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก  โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน  Tense  นี้เด็ดขาด.


ที่มา:http://marujo2524.igetweb.com/articles/570356/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-Tense-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87-12.html



ที่มา:https://www.youtube.com/watch?v=vgx5crl67vc



ที่มา:https://sites.google.com/site/balaleenbeen/wicha-phasa-xangkvs